เสน่ห์ของเพลงยุคโบราณที่ใครๆต่างหลงลืม?

เสน่ห์ของเพลงยุคโบราณที่ใครๆต่างหลงลืม?

ย่างเข้าสู่ปี 2557 ปีที่มีแต่เทคโนโลยีและเพลงสมัยใหม่ สังคมแนวแข่งขัน เร่งรีบและรุ่มร่อน
แม้ยามที่ห่างเหินสงคราม บ้านเมืองสุขสบาย? หากลองมองย้อนกลับไปสัก 50-60 ปีก่อนแล้ว แนวเพลงสมัยนั้นคงหนีไม่พ้นเพลงลูกกรุง หรือเพลงสนทราภารณ์ เป็นที่ช้ายวบยาบอืดอาด แต่หารู้ไม่เนื้อเพลงเหล่านั้นมีสิ่งที่เรียกได้ว่าวิเศษอยู่หลากหลาย ซ่อนอยู่ภายไต้คำร้องอันลึกล้ำ และทำนองที่สืออารมณ์ออกมาได้แน่น
ที่ผ่านมาคนเราห่างเหินกับเพลงที่มีจังหวะช้าเยือกเย็นไปนาน ขวนขวายแต่เพลงแนวร้อนๆ ที่คอย
ทำให้จิตใจกระปี้กระเปร่า ร้อนสะดุ้ง ก็จริงอยู่ที่เพลงเหล่านี้เป็นดนตรีแนวสนุกสนานเฮาฮาเพื่อนฝูง แต่กลับกันที่เพลงเหล่านั้นคอยกระตุ้นจิตใจให้ร้อนรนอยู่เสมอ เพราะโลกาภิวัฒน์ก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ อะไรก็มีแต่การแข่งขัน แก่งแย่งชิงดีกันอยู่เสมอ
ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ตาม ความกดดันอันเร่าร้อนเป็นสิ่งทวีความรุนแรงได้อย่างดี
ห้าสิบ หรือหกสิบปีที่แล้ว เป็นยุคที่มีสงครามใหญ่ๆมากมากเฉกเช่นสงครามโลกนั้น ทุกคนต่างกลลาหลวุ่นวายแต่แนวเพลงสมัยนั้นเป็นแนวเพลงที่สุขุทมเยือกเย็น ฟังแล้วจิตใจสงบหรือสือถึงอารมณ์ได้มาก หากเพ่งพินิตฟังดูแล้วเพลงเหล่านั้นต่างก็มีเนื้อหาที่แตกต่างกันเหมือนเพลงปัจจุบัญ แต่ที่แปลกกว่าคือการรวบเรียงทำนองที่สวยงาม ไพเราะ ให้ความอิ่มเอิบได้มากกว่าเพลงในยุคสมัยอื่นๆ
ใช้ใจกับใช้อารมณ์ฟังนั้นต่างกัน ใช้อารมณ์รับฟังนั้นง่ายและซึมซับได้เร็ว แต่กลับกัน ใช้ใจฟังนั้นต้องพินิจพิเคราะอย่างถี่ถ้วน ในการเข้าถึงอารมณ์ลึกในเนื้อเพลง ณที่นี้ จะขอยกตัวอย่างทำนองเพลงนึงซึ่งไพเราะมากทีเดียว

เพลง สนต้องลม

ลมพัดโชยพลิ้วมาเยือกเย็นอุราพาให้ชื่น
ลมเย็นระรื่นชุ่มชื่นรื่นฤทัย
ดูสนเป็นแถวทิวแลละลิ่วงามวิไล
ต้องลมพัดไกว กิ่งใบไกวอ่อนโยน

เมื่อสนต้องลมโอนอ่อนระเนน
ทอดนอนไหวเอน แลดูต้นอ่อนโยน
ดูสนฉงนใจเหตุไฉนไยไม่โค่น
ต้องลมพัดโอน อ่อนโยนตามสายลม

ความรักก็เหมือนกันเมื่อแรกนั้นรสหวานชื่น
ทุกค่ำทุกคืนสดชื่นน่าเชยชม
แต่แล้วเมื่อรักจางกลับอ้างว้างใจระทม
ฉันชมแล้วตรมขื่นขมยากเย็น

เมื่อนึกถึงเราแสนเศร้าหัวใจ
รักอยู่ภายในใครเล่าจะแลเห็น
โอ้รักไม่แน่นอนเปลี่ยนเป็นร้อนแล้วก็เย็น
หัวใจไหวเอนดังเช่นสนต้องลม


เช่นกันเพลงนี้เป็นเพลงที่ยากที่จะพินิจสารที่อยู่ข้างในข้อความ แต่ถ้าได้ฟังละก็จะต้องสามารถเข้าถึงใจและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
แม้ตอนต้นเพลงจะไม่ได้บอกถึงอารมณ์เคร้าแต่การใช้ภาษาและการตีความสามารถดูเอาอารมณ์ออกมาได้เต็มที่ ตัวอย่างเช่นบทนี้

เมื่อสนต้องลมโอนอ่อนระเนน
ทอดนอนไหวเอน แลดูต้นอ่อนโยน
ดูสนฉงนใจเหตุไฉนไยไม่โค่น
ต้องลมพัดโอน อ่อนโยนตามสายลม

แสดงให้เห็นถึงความนึกคิดของคนเราว่าทุกๆอย่างย่อมมีเปลียนแปลงยืดหยุ่น และแสดงให้เห็นถึงภาพอารมณ์ที่อ้างว้าง ความว่าง ที่ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่าหากเรานั่งอยู่ไกลๆต้นสนเพียงคนเดียว มองดูสนเอนปลิวลมเรื่อยๆดูอ้างว้างและว่างเปล่าเปลี่ยวใจ
โดยท้ายนี้อาจจะเขียนตามข้อมูลข้างต้นไม่ครบ แต่อยากให้หันมาสนใจเพลงเก่าๆกันบ้าง ว่ามันยังมีดี บางคนอาจจะอายที่ฟังเพลงเก่าๆ


แต่เพลงเหล่านั้นกลับให้คุณค่ามหาศาลไม่อาจเทียบได้ ดังนั้น..............



ควรที่จะหันมาฟังซึมซับอารมณ์ จะทำให้เรามีความสุข

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม